เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๙ เม.ย. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ไอ้ที่พูดนี่ก็เพราะเวลาคิดถึงหลวงตาไง หลวงตาท่านบอกนะ เวลาท่านออกประพฤติปฏิบัติใหม่ๆ ท่านเรียนถึงจบมหาคำว่า “จบมหา” ก็คือเรียนบาลีจบแล้ว แต่ถ้า๙ ประโยคมันเรียนทับศัพท์แต่เป็นมหามันรู้จักภาษาบาลีภาษาบาลีเขาเรียนมาเพื่อเป็นกุญแจไขเข้าไปสู่พระไตรปิฎก ไขเข้าไปสู่สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้ภาษาพอได้ภาษาแล้วเราก็จะศึกษาค้นคว้าได้

ท่านจบมหา แต่เวลาจะออกประพฤติปฏิบัติขึ้นมา“นิพพานมันมีอยู่จริงหรือเปล่า นิพพานมีอยู่จริงหรือเปล่า” ท่านแสวงหาครูบาอาจารย์ ท่านบอกว่าเวลาท่านคิดถึงนะท่านคิดถึงน้ำใจของท่านคนเรานะ เวลาเราสละชีวิตทางโลกมาเพื่อจะค้นคว้าสัจธรรมสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วเรายังมืดแปดด้าน เราจะไปอย่างไร นี่ถึงต้องแสวงหาครูบาอาจารย์ๆไง

ทีนี้เวลาหลวงตาท่านพูดนี่ซึ้งใจมากเวลาท่านแสวงหาครูบาอาจารย์นะ ท่านค้นคว้าของท่าน ท่านพยายามหาของท่าน แล้วเวลาไปที่ไหนมา เวลาเข้าไปหาหลวงปู่มั่นนะ กลัวอยู่คำเดียวกลัวว่าท่านจะไม่ให้อยู่ถ้าบอกว่าไม่ให้อยู่ หัวใจแหลกสลายเลย แต่บังเอิญเวลาท่านจะเข้าไปมีพระออกไปองค์หนึ่ง พอท่านเข้าไปท่านบอก‘เออ! ท่านเนตรเพิ่งไปเมื่อวานนี้ มหาถึงได้อยู่”ท่านบอกฟังแล้วนี้แล้วโอ้โฮ! มันโล่งอกเลยนะ 

คำว่า“โล่งอก” ถ้าคนมันแสวงหา คนพยายามค้นคว้าอยู่ มันมืดแปดด้าน ถ้าคนค้นคว้า เรามีเงินเต็มกระเป๋าเลย จะไปไหนเราก็ยังอุ่นใจนะ ไอ้นี่เงินก็ไม่มี เงินคือสมาธิ สมาธิคือหลักใจก็ไม่มี สิ่งใดก็ไม่มี แล้วจะต้องค้นคว้าๆแล้วไปเจอคนพูดไปปลิ้นปล้อนหลอกลวงไปทั้งนั้นน่ะ จะปลิ้นปล้อนหลอกลวงจะรู้ได้ต่อเมื่อเราปฏิบัติไปนะเวลาปฏิบัติไปที่เขาพูดๆ มามันไม่จริงสักเรื่องหนึ่งเลย 

เวลาเราคิดถึงหัวอกของหลวงตาแล้วเราคิดถึงหัวอกเรา หัวอกเรานะ เวลาบวชพรรษาแรกไฟแรงมาก ถือเนสัชชิกไม่นอนตลอดไป ไปหาครูบาอาจารย์ก็โดนหลอกอย่างนี้ พูดไปไหนมา สามวาสองศอก เวลาเขาพูดแล้วเขามั่นใจของเขานะ เขามั่นใจเพราะเขาพูดตามพระไตรปิฎก

เวลาหลวงตาท่านบอกท่านเรียนจบมหา ท่านจบมหาคือท่านได้กุญแจ กุญแจไขตู้พระไตรปิฎก กุญแจไขถึงศัพท์ ถึงภาษานั้นเข้าไปสู่สัจจะความจริงอันนั้น แล้วเวลาท่านจะประพฤติปฏิบัติเวลาปฏิบัติท่านยังว่า “แล้วมันจะมีจริงอยู่หรือเปล่า” มันหาคนที่จะชี้ไง 

เวลาเราประพฤติปฏิบัติไปหาครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ที่ไว้ใจได้ ที่แน่ใจได้ก็ครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ที่มีชื่อเสียงท่านก็มีกติกาของท่าน เวลาปฏิบัติไปแล้วถ้ามันผิดพลาดไป กลัวมันจะมีแบบว่าเสียประวัติ เสียประวัติคือท่านไล่ออกแล้วอดอยู่ไง ก็พยายามจะฝึกฝนก่อน จะให้มีข้อวัตรก่อน ก็ไปหาครูบาอาจารย์ที่พอจะสื่อความหมายได้ แล้วเวลาเขาสอนเขาสอนเขาก็มั่นใจนะ เพราะเขาบอกว่าเขาพูดตามพระไตรปิฎก ก็เหมือนเรา เราศึกษาจบแล้วเราก็สอนตามที่เราเรียนมาแล้วเป็นจริงหรือเปล่า ไม่รู้ก็กูยังไม่ได้ทำ 

อันนี้ก็เหมือนกัน ไปไหนมา สามวาสองศอก สามวาสองศอกต่อเมื่อเราประพฤติปฏิบัติแล้วมันไม่เป็นความจริงอย่างนั้น ถ้าไม่เป็นความจริงอย่างนั้นนะ แล้วเวลาไป ดูสิ เขาอ้างพระไตรปิฎกเราก็เชื่อแล้วราบเลย พระไตรปิฎกๆ พระไตรปิฎกเป็นสัจธรรม ธรรมะเป็นธรรมชาติๆธรรมชาติก็เกิดแก่ เจ็บ ตายก็เป็นธรรมชาติเกิด แก่ เจ็บตายนี้เป็นธรรมชาติหรือเปล่า เกิด แก่เจ็บ ตายนั้นก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่งนะ 

ธรรมะเป็นธรรมชาติๆธรรมะเป็นธรรมชาติต่อเมื่อหัวใจของคนที่เป็นพระอรหันต์ ถ้าหัวใจเป็นพระอรหันต์นั้นจิตใจเหนือโลกแล้ว มองโลกมันอยู่อีกส่วนหนึ่ง แต่จิตใจนี้มันเหนือโลกพอเหนือโลกเหนือสภาวะอนิจจัง เหนือการเวียนว่ายตายเกิด เหนือสภาวะที่เปลี่ยนแปลงธรรมชาติมันยังเปลี่ยนแปลงของมันอยู่ตลอดเวลาธรรมะเป็นธรรมชาติ แต่ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกธรรมะเป็นธรรมชาติล่ะ พระไตรปิฎกเขาแปลบาลีมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกธรรมะเป็นธรรมชาติธรรมะเป็นธรรมชาติก็นี่ไงเด็กน้อย พูดอย่างไรก็ได้ให้เด็กน้อยเข้าใจได้

ปุถุชนคนหนา พวกเรากิเลสหนาพวกเราไม่เชื่อสิ่งใดเลย ถ้าสิ่งใดสมัยโบราณนะ คนเห็นกราบไหว้พระอาทิตย์กราบไหว้พระจันทร์กราบไหว้ภูเขากราบไหว้ไฟ ผู้บูชาไฟ บูชาภูเขา เพราะศาสนายังไม่มีเขายอมจำนนกับธรรมชาติไหม ธรรมะเป็นธรรมชาติธรรมชาติที่เอ็งตกใจ ฟ้าแลบฟ้าร้อง อู้ฮู! มีแต่คนตื่นกลัวไปนั่นน่ะธรรมชาตินั่นไง ธรรมะเป็นธรรมชาติ 

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกธรรมะเป็นธรรมชาติบอกถึงปุถุชนบอกถึงคนที่จะเข้าไปหาสู่สัจธรรม แต่เวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติแล้ว ถึงที่สุดแล้วหลวงตาท่านพูดตอนสุดท้ายไงธรรมะเป็นธรรมธาตุ ธาตุของธรรม แต่ตอนใหม่ๆ ท่านก็บอกธรรมะเป็นธรรมชาติเหมือนกันเพราะอะไรเพราะสอนคนไม่รู้ ถ้าบอกธรรมะเป็นธรรมชาติ เป็นหลักวิทยาศาสตร์โอ้โฮ! พวกเราทึ่งมากเลยทฤษฎีไง แต่ถ้าปฏิบัติตามความเป็นจริงแล้วเป็นจริงอีกอย่างหนึ่ง เห็นไหม

ถึงบอกว่า เวลาคนที่แสวงหา คนที่มีความทุกข์เขาแสวงหาของเขา น่าเห็นใจมาก เวลาครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติมาแล้วนะ ท่านจะนึกถึงเวลาท่านออกแสวงหาใหม่ๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิบัติอยู่ ๖ปี ทุกข์ยากขนาดไหน แล้วท่านถึงบอกว่าไม่อยากให้พวกเราผิดเลยไม่อยากให้ใครหลงทางเลยล่ะแต่เวลาท่านพูดอย่างไรก็แล้วแต่ เราก็ไม่เชื่อฟังไง กิเลสของเรา เราเก่งกว่าทั้งนั้นน่ะ 

ดูสิ เขาบอกว่า ต้นธาตุต้นธรรม เหนือพระพุทธเจ้าอีกต้นธาตุ ต้นธรรม ต้นธรรมเลยหรือ ธรรมมันมีต้นมีปลายที่ไหน แล้วมันเป็นอย่างไรมันถึงจะเป็นต้นเป็นปลาย ถ้าเป็นต้นเป็นปลาย คนที่มันเริ่มต้นๆ นี่ไง ที่จิตมันดิบๆ อยู่นี่ จิตที่มันทุกข์มันยากอยู่นี่ต้นมันต้นที่นี่ต้นเพราะอะไรเพราะจิตนี้มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ดูสิ เราเห็นตลอด คนคลอดออกมาเด็กเกิดทุกวันแล้วคนตายทุกวัน แล้วเวลาเห็นๆ อยู่นั่นน่ะแล้วชีวิตเป็นอย่างนี้มันสลดใจไหม

แต่เวลาเกิดมาแล้ว ถ้าเป็นทางโลกเรามาทำบุญกุศลกัน เราต้องการบุญกุศล เราต้องการลาภสักการะ ลาภที่ควรได้และลาภที่ไม่ควรได้ทุกขลาภ ลาภที่ไม่ควรได้เลยแต่ลาภที่ควรได้ ทำโดยสุจริตสัจธรรมได้สิ่งนี้มา มันลาภที่ควรได้ลาภที่ควรได้เพราะอะไรลาภที่ควรได้เพราะเราทำบุญกุศลของเรามา เราทำของเรามาๆ คำว่า “บุญกุศล” มันเป็นจังหวะและโอกาส มันเป็นโอกาสของเรา มันเป็นเชาวน์ปัญญาของเรา นั่นน่ะคือลาภของเรา

ลาภที่ไม่ควรได้ ไปคดไปโกง ไปแย่งไปชิง ทุกขลาภลาภที่ไม่ควรได้มันเป็นอกุศลมันเป็นสิ่งที่ไม่ดีงาม แต่เวลาทางโลกแล้ว ถ้ามีปัจจัยเครื่องอาศัยแล้วเราต้องหาสิ่งนั้นมาให้ได้ 

บุญกุศลๆ ที่มาทำบุญกุศลกันเพื่อเหตุนี้ไงทำบุญกุศลเพื่อให้จิตใจเรามั่นคง จิตใจเรามีหลักเกณฑ์ของเรา เราจะแสวงหาสิ่งใดเราแสวงหาด้วยคุณงามความดีของเราธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิปัญญา ให้ทำแต่คุณงามความดีๆ คุณงามความดีเป็นทาง คนจะไปที่ไหนมันต้องมีวิธีการมันถึงสู่เป้าหมายนั้นเวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วิธีการทั้งนั้น สู่เป้าหมายศีล สมาธิปัญญา เวลามันเข้าเป็นธรรมธาตุแล้วเงียบ คนที่รู้ทันที เม้มปากแล้วนั่งลง

แต่ถ้าไอ้พูดโม้ๆ นั่นน่ะยิ่งโม้ยิ่งทางวิชาการยิ่งขัดแย้งกัน แล้วมีการโต้แย้งกันมีการโต้แย้งอย่างนั้นน่ะ ทำอย่างนั้นน่ะเพราะมันเป็นจริต เป็นนิสัยเป็นความชอบของคน แต่เวลาจริงๆ แล้วมันเป็นความทุกข์นะ ทุกข์ประจำธาตุขันธ์ ทุกข์ประจำหัวใจของเรา ความทุกข์ๆ ในหัวใจเรา แล้วความทุกข์ของเราทุกข์เกิดขึ้นทุกข์ตั้งอยู่ แล้วทุกข์ดับไป แต่เราไม่เห็นทุกข์เราปรารถนาแต่ความสุขไงกลบมันไว้ กลบเกลื่อนทุกข์ไว้ในหัวใจ แล้วหาความสุข

ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่ทุกดวงใจ ทุกดวงใจคือคนเกิด คนที่เกิดมาทุกดวงใจเหงาหงอย ทุกดวงใจมันมีความลังเลสงสัยในหัวใจทุกดวงใจ ทั้งๆที่ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พูดปากเปียกปากแฉะ คนเราเกิดมาต้องตายหมดๆ แต่เวลาตายแล้วมันก็สะเทือนใจ

แต่ถ้ามันเป็นสัจจะเป็นความจริงอะไรมันสะเทือนใจความสะเทือนใจไปที่ไหน มันเป็นสัจจะเป็นความจริง ถ้าเราเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราต้องยอมรับความจริงอย่างนี้ ถ้ายอมรับความจริงอย่างนี้ เรายอมรับความจริงแล้วเราจะมีสิ่งใดรองรับความจริงอันนี้ 

ถ้ารองรับความจริงก็ด้วยปัญญาของเราถ้าถึงกาลถึงเวลาของเรามันต้องเป็นสัจจะความจริงของเรา ถ้าถึงสัจจะความจริงของเรา คุณธรรมๆในหัวใจมีไหมถ้าคุณธรรมในหัวใจมี เราทำบุญกุศลของเรามันเป็นอามิส ถ้าใครประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันมีสมาธิของเรามันมีหลักใจ

เวลาร่างกายสิ่งนี้พึ่งไม่ได้เลย ทรัพย์สมบัติสิ่งใดพึ่งไม่ได้เลย สิ่งใดที่แสวงหามาพึ่งไม่ได้เลย สิ่งที่พึ่งได้คือบุญกุศลที่เราสร้างของเรามา ถ้าใครได้สร้างบุญกุศลมา เวลามันจะตาย ไป กูจะไปแล้ว กูจะเอาความดีของกูไป คุณงามความดีที่ทำมาๆ นี่ไง กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กันไงคนที่เวลาจะเดินทางพร้อมกับทรัพย์สมบัติพร้อมกับคุณสมบัติของเรา มันกลัวอะไร

แต่ถ้าคนเราแห้งแล้งเลย โอ้โฮ! เหลือแต่ตัวเปล่าๆ เหลียวไปทางไหนก็ไม่มีอะไรเลยแล้วไปไหนล่ะก็เข้าป่าไปด้วยมือเปล่าไง เข้าป่าไป แล้วเข้าไปในป่ารกชัฏจะไปเจออะไรยังไม่รู้ นี่ไง ถ้าพูดถึงไม่ได้ทำบาปอกุศลนะ แต่ถ้าทำบาปอกุศลไว้นะ เขาเรียกกรรมนิมิต คนเราเวลาใกล้ตายที่มันสะดุ้งสะเทือน มันกลัวนั่นน่ะมันจะเห็นกรรมนิมิตทั้งๆ ที่ยังไม่ตายนะ กำลังจะไป เจ้ากรรมนายเวร มาๆมาชดใช้ มาชดใช้ มาๆๆเขาจะนอนแล้วกระวนกระวาย นี่คนใกล้ตาย กรรมนิมิตมันจะบอกเลย

แต่ถ้าจิตตคหบดี คนที่ทำคุณงามความดีไว้ เวลาเขาสร้างบุญกุศลของเขาไว้เวลาเขาจะตายนะ เหมือนสงกรานต์หยุดหลายวันเขาไปเที่ยวญี่ปุ่นกัน นี่ก็เหมือนกันเวลาจะตายนะฉันจะไปเที่ยวนิมมานรดี ฉันจะไปเที่ยวดุสิตมีรถเทวดา รถสวรรค์มารับเลย เขามองเห็นๆ กรรมนิมิตๆ เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องผลของวัฏฏะ ผู้ที่ทำคุณงามความดี ผู้ที่มีหลักเกณฑ์เขารู้ของเขาได้

แต่ครูบาอาจารย์ของเราที่ประพฤติปฏิบัติ ท่านไม่ต้องการอย่างนั้น ดูสิ เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาพระพุทธศาสนาสอนถึงเรื่องของทุกข์ทุกข์เกิดขึ้นทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป 

ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่แล้วดวงใจนี้ไปเกิดเป็นเทวดาเป็นอินทร์ เป็นพรหม มันจะไปว้าเหว่ต่ออีกไหม ถ้ามันว้าเหว่อยู่นี่ว้าเหว่อยู่นี่ในร้อยปี ถ้าไปเป็นเทวดา เป็นหมื่นปีเป็นแสนปี เป็นพรหมมันไปว้าเหว่อยู่ที่นั่นทำไมทำไมจิตที่มันว้าเหว่อยู่นี่ ที่มันทุกข์มันยากอยู่นี่ ทำไมไม่สำรอกไม่คายมันออกไป ถ้ามันคายออกไปให้มันสิ้นจากทุกข์ไป มันไม่มีสิ่งใดคาในหัวใจนะ 

เราเกิดเป็นมนุษย์ หนึ่งอายุขัยของเราทำมาหากินก็ปากกัดตีนถีบขนาดนี้แล้ว ยังจะต้องมาประพฤติปฏิบัติอะไรกันอยู่อีก

การประพฤติปฏิบัติคือคนที่เห็นคุณค่าของหัวใจ คือคนที่เห็นคุณค่าของชีวิต ชีวิตมันมีค่ามาก เพราะเราเกิดมา เกิดในไข่ เกิดในครรภ์ เกิดในน้ำครำ เกิดในโอปปาติกะ มันถึงเป็นสิ่งมีชีวิตสิ่งมีชีวิตเกิดมาแล้วถ้ามันแสวงหาสมบัติสมบัติของโลกก็สมบัติเลี้ยงปากเลี้ยงท้องสมบัติเลี้ยงปากเลี้ยงท้องที่เราหามาแล้ว เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา เราต้องพลัดพรากจากมัน ไม่มีสิ่งใดเป็นที่พึ่งเลยไม่มีสิ่งใดเป็นที่พึ่งเลย 

แล้วไอ้บุญกุศลในหัวใจเป็นที่พึ่งเออ! อันนี้ อันนี้เป็นที่พึ่ง แต่อันนี้เป็นอามิสก็พึ่งเป็นผลของวัฏฏะ แล้วยังต้องไปเกิดอย่างนั้นไหมถ้ามันเป็นที่พึ่งได้ แต่ถ้าพึ่งได้ถ้ามีปัญญามากขึ้น เราพยายามฝึกหัด หายใจเข้านึกพุทหายใจออกนึกโธ

หายใจคนเขาหายใจกันทั่วโลกทำไมเขาไม่นึกพุทโธเหมือนเราเลย ทำไมเราต้องมาหายใจแล้วนึกพุทนึกโธให้มันลำบากกว่าคนอื่นไปอีก

หายใจเข้านึกพุทหายใจออกนึกโธ เพราะคนที่นึกวิตกวิจารณ์เกิดจากจิต จิตมันนึกของมัน มันทำงานของมันการนึกพุทโธคือการทำงานของจิต จิตมันทำงานของมันๆเวลามันคิดเรื่องฟุ้งซ่าน คิดเรื่องโลก มันทำงานหรือเปล่า มันทำงานโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันทำงานโดยสัญชาตญาณไง

แต่เวลาเราตั้งสติให้นึกพุทนึกโธ จิตมันทำงานในตัวมันเอง ทำงานที่มันเกาะลม เห็นไหม ทั้งๆ ที่คนเขามีลมหายใจอยู่กันทั่วโลกแต่เขาหายใจของเขาเพื่อสุขภาพของเขาเราหายใจเพื่อสุขภาพด้วยแล้วเราหายใจจิตที่มันเกาะๆมันเกิดพุทธานุสติ พุทธานุสติคือคนไม่ประมาท คนอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทโธๆๆ จนจิตมันสงบเข้ามาถ้าจิตสงบเข้ามา มันไม่ต้องอาศัยสิ่งใดเลยสุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี

แล้วจิตสงบ เดี๋ยวก็คลายตัวออกโดยธรรมชาติของมัน เจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ ทุกอย่างที่มีพัฒนาขึ้น ทุกอย่างมันต้องเสื่อมสภาพไปเป็นธรรมดาของมัน นี่ไงธรรมะเป็นธรรมชาติไงเจริญแล้วเสื่อมเสื่อมแล้วเจริญก็เป็นธรรมชาติไง

แต่ที่เหนือธรรมชาติเหนือเพราะมันมีเหตุไง ถ้ามีเหตุ เรากำหนดของเรา เราพิจารณาของเรา จิตสงบเข้ามาๆ นี่มันเห็นแล้วแหละ ถ้าจิตสงบนะ ใครทำสมาธิได้จะซาบซึ้งในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเริ่มต้นสตาร์ตจากตรงนี้

อวดอุตตริมนุสสธรรมธรรมที่เหนือมนุษย์ ตั้งแต่ฌานโลกีย์ขึ้นไป ตั้งแต่ฌานสมาบัติ อวดอุตตริมนุสสธรรมภิกษุพูดไม่ได้อวดเขาไป อวดอุตตริ อวดอุตตริมนุสสธรรมธรรมที่เหนือมนุษย์

ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามาๆทำไมเราต้องมาทำของเราอีก ทำของเราขึ้นมาเพื่อจุดสตาร์ตไง ถ้าจิตมันสงบแล้วถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ ถ้าเกิดภาวนามยปัญญา เราจะเข้าใจเลยว่าภาวนามยปัญญาปัญญาในพระพุทธศาสนามันเป็นอย่างไร ปัญญาในพระพุทธศาสนานี่

แต่ตอนนี้มันเป็นปัญญาทางโลกไง เห็นไหม ดูสิ เขาทำการประชาสัมพันธ์กันต่างๆ มันเป็นวิชาการไงถ้าใครทำประชาสัมพันธ์ใครเสนอแนวทางสิ่งใดให้คนเชื่อถือได้นี่ก็ปัญญา แต่ปัญญาโลกๆ ไงปัญญาทางโลกปัญญาเพื่อโน้มน้าวคนใช่ไหม

แต่ถ้ามันเกิดปัญญาของเรา มันไม่ใช่ปัญญาโลกๆ นะ มันปัญญาถอดถอนวัฏฏะนะปัญญาที่ทำให้จิตนี้มันไม่เกิดไม่ตาย ไอ้ที่ไม่เกิดไม่ตายนี่หลักพระพุทธศาสนา ที่ไหนมีการเกิด การแก่การเจ็บ การตาย มันต้องมีฝั่งตรงข้าม ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายแล้วอะไรไม่เกิดอะไรไม่แก่อะไรไม่ตายล่ะ

ไม่แก่ ไม่ตายเพราะอะไรเพราะถ้าจิตสงบแล้วมันก็เป็นสัมมาสมาธิใช่ไหม มันคงที่ของมันใช่ไหมแต่มันชั่วคราวใช่ไหม แต่ถ้าสิ่งที่อนิจจังความคิดเกิดดับ ทุกอย่างเกิดดับที่ใจ ถ้ามันมีสติมีปัญญาขึ้นมาถ้ามันถอนอวิชชา คือไอ้ตัวโง่นั่นแหละมันเป็นเหยื่อเขา ถ้ามันมีวิชชา เวลามันฉลาดขึ้นมาก็เป็นวิชชา ถ้าวิชชามันสำรอกมันคายของมันมันคายอะไรล่ะคายสังโยชน์คายเครื่องร้อยรัด แล้วอยู่ไหนล่ะ มันอยู่ไหนล่ะ มันเป็นอย่างไรล่ะปัญญาในพระพุทธศาสนามันถึงจะเห็นอย่างนี้ได้

ถ้าไม่ใช่ปัญญาพระพุทธศาสนาจินตนาการทั้งหมด ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอามาวิเคราะห์วิจัยกัน แล้วมาเถียงกันปากเปียกปากแฉะไอ้นั่นมรรคแท้ไอ้นี่มรรคเทียมไอ้นั่นมรรคบริสุทธิ์ ไอ้นี่มรรคไม่บริสุทธิ์มรรคของใครมันอยู่ข้างนอกไปเถียงกันก็สมบัติคนอื่น

แต่ถ้ามันเป็นสัจจะความจริงปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก โอ้โฮ! มันเกิดจากจิตเกิดจากหัวใจหัวใจที่มันเจ็บช้ำ หัวใจที่มันเศร้าโศก หัวใจที่มันโดนบีบคั้นหัวใจที่มันทุกข์มันยาก เวลามันเห็น มันรู้แล้วมันคายออก เห็นไหมบัวบานๆ บัวผุดขึ้นมาจากรากเหง้า มันโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำเวลามันโดนแสงอาทิตย์ มันบานออกกลางหัวใจ มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกเฉพาะตน มันเป็นเฉพาะตนมันเป็นเฉพาะในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ทีนี้เวลามันเกิดในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “จะสอนใครได้หนอ จะสอนใครได้หนอ”คือมันมหัศจรรย์ แต่ในปัจจุบันนี้อีลุ่ยฉุยแฉก ขี้โม้ ร้อยแปด ไร้หลักการ ไร้เหตุผล ไร้ทุกอย่าง อาศัยพระไตรปิฎกอ้างแต่พระไตรปิฎก

นี่ไงหลวงตาท่านเรียนจบพระไตรปิฎกนะท่านเรียนเป็นมหา การแสวงหามันทุกข์มันยากแล้วเวลาของเราพรรษาแรกเราก็ทุกข์ก็ยากที่เราตรากตรำอยู่นี่ พูดอยู่ทุกวัน พูดเป็นหลักการไว้เฉยๆธรรมะเวลาแสดงไม่แสดงเพื่อเสียดสีใครไม่แสดงเหยียบย่ำใคร ไม่แสดงทับถมใคร แต่หลักสัจธรรม แล้วถ้ามันผิดหลักสัจธรรมนั้น มันก็คือมันผิดจากหลักสัจธรรม

ไม่เสียดสีใคร ไม่ทับถมใคร ไม่เหยียบย่ำใครแต่เขาพูดด้วยอีลุ่ยฉุยแฉกเพราะ เพราะใจไม่เป็น ใจไม่เป็น เอามาจากไหน มันต้องใจเป็นไง ถ้าใจเป็นแล้ว หลวงตาท่านถึงแสวงหา ท่านบอกว่าหลวงปู่มั่นมีชื่อเสียงตั้งแต่ท่านเป็นเด็กๆ

ของเรานะ เวลาเริ่มต้นเราก็สะเปะสะปะไปหาคนข้างเคียงก่อนไง ไปไหนมา สามวาสองศอก แล้วจะเป็นอย่างนั้นทั้งนั้น เพราะเหมือนทหารเขาไม่ได้ออกรบ เขาไม่เคยผ่านสงครามเขาไม่รู้หรอกว่าการผ่านสงคราม ข้าศึกมันโหดร้ายแค่ไหน แนวที่ ๕การข่าว การทำลายกันในสงคราม ที่ไหนมีสงคราม ไม่มีเหตุมีผล มีแต่การเอาชนะคะคานเท่านั้น

ถ้าจิตใจของเขาไม่เคยผ่านสงครามระหว่างธาตุขันธ์ สงครามระหว่างธรรมะกับกิเลส เขาจะไม่เห็นความโหดร้ายของกิเลส กิเลสนี้โหดร้ายนักแล้วกิเลสไม่ได้อยู่ที่ใคร อยู่ที่ความคิดของเรา แล้วเราจะมีสติมีปัญญาเข้าไปรู้ได้ มีสติปัญญาเข้าไปเห็นได้ แล้วทำสิ่งนั้นได้

นั่นล่ะถ้ามีองค์ความรู้อย่างนั้น ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นจริงท่านถึงจะระแวดระวังให้พวกเราหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านเข้มงวดๆ เข้มงวดเพราะว่าไอ้กิเลสมันโหดร้ายนัก ถ้าฉันทำ ไม่เป็นไร ถ้าคนอื่นทำ ไม่ได้แต่ถ้าฉันทำ ไม่เป็นไร ของเล็กน้อย แต่ถ้าคนอื่นนะ ไม่ได้เห็นไหม กิเลสมันโหดร้ายนักมันเห็นแก่ตัวแล้วมันเห็นแก่ธรรมะ มันก็ไปว่าเป็นของมัน

แต่เวลาครูบาอาจารย์นะ ท่านบอกนั่นแหละ มารเอยเธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดบนหัวใจดวงนี้ไม่ได้เลยแล้วมันไปอ้างธรรม อ้างธรรมว่ามันรู้มันเห็นถ้าคนอื่นทำ ผิดหมด แต่ถ้าตัวเอง ไม่เป็นไร

ไม่เป็นไรดำริหรือยัง คิดหรือยัง มีความยึดมั่นถือมั่นหรือยัง มารเอยเธอเกิดจากความดำริ ก็เกิดจากกิริยาเอ็งนั่นแหละเกิดจากหัวใจที่เคลื่อนไหวนั่นแหละ เกิดจากความคิดนั่นแหละ แล้วจะทำอย่างไรไปดับมัน จะทำอย่างไรให้มันสิ้นไป

สิ่งที่ทำที่พยายามพูดอยู่นี่ๆ พูดเพื่อหลักการ พูดเพื่อสัจธรรมแล้วใครมีสติมีปัญญาแค่ไหนเอาสิ่งนี้ไปวิเคราะห์วิจัยให้เป็นสมบัติของเรา เอวัง